Featured Post Today
print this page
Latest Post

Tip ประโยคทักทายในชีวิตประจำวัน



การนําภาษาอังกฤษไปใช้ในชีวตประจำวัน
ทุกวันนี้ เราคงปฏิเสธไม่ได้ที่ภาษาอังกฤษเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจําวันเรา เด็กทุกวันนี้ก็เรียนรู้ ภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้นอนุบาล เรียนไปเรื่อย ๆทั้ง grammar และ Conversation เด็กเหล่านี้โชคดีที่เกิดมา พร้อมยุคสมัยที่การเรียนการสอนพัฒนาไปไกล และการสอสารที่รวดเร็ว สามารถเรียนรู้ได้ง่ายจากสื่อต่าง ๆไม่ว่าจะเป็น internet, movie, music, newspaper ที่หาได้ง่ายๆ งั้นเรามาเริ่มต้นมาศึกษาด้วยแบบง่ายๆกันค่ะ

ประโยคภาษาอังกฤษ ใช้ในการทักทายแบบไม่เปนทางการ
• Hi ฮ๊าย หวดดี
• Hello เฮลโล็ สวัสดี

การนําไปใช้ก็ให้ต่อท้ายด้วยชื่อของคนๆนั้น เช่น
• Hi, Jo. ฮ๊ายโจ หวัดดีโจ
• Hi, Sam. ฮ๊ายแซม หวัดดีแซม
• Hello, Mr. Tom. เฮ็ลโล๊ มิสเตอร์ ทอม สวัสดีคุณทอม
• Hello, Susan. เฮ็ลโล๊ซู๊ซัน สวัสดีซูซาน

เอาสํานวนเหล่านี้ไปฝึกใช้กัน การเรียนภาษาอังกฤษให้เรียนแบบค่อยเป็นค่อยไป เดี๋ยวภาษาก็จะซึมซับเองโดย
อัตโนมัติ

ประโยคภาษาอังกฤษ การทักทายอย่างเป็นทางการ
• Good morning.
กุดม๊อนิง
ดีตอนเช้า (สวัสดีตอนเช้า) เช้าถึงเที่ยง

• Good afternoon.
กุดด๊าฟเทอะนูน
ดีตอนบ่าย (สวัสดีตอนบ่าย) บ่ายถึงเย็น

• Good evening.
กุดด๊ฟนิง
ดีตอนเย็น (สวัสดีตอนเย็น) เย็นถึงดึกๆ
และจดจําให้ได้ว่าคําไหนใช้ตอนไหนเวลาเอาไปใช้งานจริงๆก็จะตามชื่อบุคคลนั้นๆเช่น

• Good morning, Mr. John.
กุดม๊อนิงมิสเตอะจอน (สวสดั ีตอนเช้าคุณจอน)
แต่ถ้าเป็นแขกที่เราไม่รู้จักจะใช้คําว่า sir (เซอ = คุณผู้ชาย) madam (แม๊เดิม = คุณผู้หญิง) เช่น

• Good evening, sir.
กุดดี๊ฝนิงเซอะ (สวัสดีครับคณผู้ชาย)

• Good evening, madam.
กุดดี๊ฝนิงแม๊เดิม (สวัสดีครับคุณผู้หญิง)


0 ความคิดเห็น

Tip ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับการกล่าวคำขอโทษ


วันนี้จะมากล่าวคำขอโทษมาฝากให้ไปใช้กันเพราะมันเป็นสำนวนติดปากสำหรับคนทั่วโลกไม่ว่าจะทำอะไรช้า ผิดนิดหน่อยเราก้อขอโทษกันทำให้การอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข การขอโทษ ขออภัยจึงถือว่าสำคัญที่สุด

สำนวนภาษาอังกฤษที่เราใช้กล่าวขอโทษกันมีหลายสำนวน ผู้เขียนจะขอหยิบยกมาให้นำไปใช้กันตามที่นิยมและใช้แพร่หลายกันก็พอนะครับ ขืนจำไปมากจะสับสน



ก่อนที่จะใช้สำนวนกล่าวคำขอโทษ เรามาดูศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีความหมายว่าขอโทษ ยกโทษ ซึ่งความหมายของศัพท์แต่ละคำนั้นคล้ายคลึงกันและใช้ในการขอโทษเหมือนกันแต่ต่างกันตรงโอกาสและสถานะของการใช้นะครับ

คำแรกคือคำว่า apologize v. (อะพ็อลโลไจซ) : หมายถึงการขอโทษ เพราะผู้ขอเกิดความสำนึกและยอมรับว่า ได้ทำได้ทำวามยุ่งยากหรือทำความเจ็บปวดให้กับผู้อื่น เช่น

- I apologized to her for stepping on her foot. ฉันขอโทษที่ไปเหยียบเท้าเธอ

- I apologized to him for my error. ฉันขอโทษเขาที่ได้ผิดพลาดอะไรไปบ้าง

เวลาเราใช้คำว่า apologize ในการขอโทษ เราจะใช้สำนวนหระโยค ที่ว่า

I apologize to ……….(ผู้ที่เราต้องการขอโทษ) for …….(v+ing………(เรื่องที่เราทำผิด)

หรือ apologize for …………….. (เรื่องที่เราต้องการขอโทษ) เช่น May I apologize for coming late. ฉันขอโทษที่มาสายนะครับ

คำต่อไปคือคำว่า forgive v. (ฟอกิฟว) : หมายถึงการให้อภัยหรือยกโทษให้กับผู้ที่ล่วงเกินตนเป็นเหตุให้เกิดอารมณ์เคียดแค้นขึ้นในใจ และเมื่อมีการขอโทษให้อภัยแล้วก็จะได้สบายใจทั้งสองฝ่าย เช่น

- He forgive me for being late. เขาให้อภัยฉันที่มาสาย

- I was pleased to forgive him for what he said to me at the meeting yesterday.

ฉันยินดีที่จะให้อภัยเขาต่อสิ่งที่เขาได้พูดถึงฉันในที่ประชุมเมื่อวานนี้

คำต่อไปคือคำว่า excuse v. (เอ็กซคิวส์) : หมายถึงการยกโทษหรือการให้อภัยในความผิดเล็กๆน้อยๆ ซึ่งเป็นมารยาทในด้านสังคมหรือประเพณี เช่นการพูดขอทางผ่าน การลุกเดินเหินนั่งแล้วไปเบียดหรือเฉี่ยวชนใครเข้าโดยไม่ตั้งใจใช้ excuse เช่น

- Excuse me for not recognising you. ขอโทษนะครับที่จำคุณไม่ได้

- Please excuse me for miscalling you. ขออภัยด้วยนะครับที่เรียกชื่อคุณผิด

- Please excuse for the way to go outside. ขอโทษนะครับขอทางออกไปหน่อย

คำสุดท้ายคือคำว่า pardon v. (พาดัน) : หมายถึงการขอโทษหรืออภัยโทษ นิยมใช้เมื่อโทษนั้นเป็นโทษหนัก เช่น การทำผิดกฎหมาย หรือผิดศีลธรรมแต่บางครั้ง ก็นำมาใช้ในความหมายว่าไม่ได้ยิน หรือได้ยินไม่ชัด ขอให้พูดใหม่อิกครั้งได้ไหม เหล่านี้เป็นต้น เช่น

- Fifty prisoners were pardoned. นักโทษ 50 คนได้รับอภัยโทษแล้ว

- Pardon me. Will you please say it again. ขอโทษนะครับ กรุณาพูดอีกครั้งได้ไหม หรืออาจจะกล่าวสั้นๆ หลังจากต้องการให้ผู้พูด พูดอีกครั้ง คือ

- Pardon me.

เอาละเรารู้ความหมายของแต่ละคำแล้ว เลือกใช้ได้ตามความผิดนะครับ อิอิ ต่อไปเป็นสำนวนที่เรามักจะใช้พูดขอโทษกัน ตามนี้เลยครับ

1) Excuses and Apologies การกล่าวคำขอโทษ สำนวนที่ใช้กันมากๆ มีตามนี้ครับ

- Excuse me. ขอโทษครับ

- Pardon me. ขอโทษครับ

- Excuse me for being late. ขอโทษทีฉันมาช้า

- I’m so sorry. ฉันขอโทษเป็นอย่างสูง

- I’m very sorry. ฉันขอโทษเป็นอย่างมาก

- I’m very sorry for not coming yesterday. ฉันเสียใจมากๆที่ไม่ได้มาเมื่อวานนี้

- I’m sorry to have kept you waiting. ฉันต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณรอ

- I’m sorry I can’t help you. ฉันต้องขอโทษด้วยที่ช่วยคุณไม่ได้

- I’m sorry to have troubled you. ฉันต้องขอโทษด้วยที่ทำให้คุณยุ่งยาก

- I apologize for breaking my promise. ฉันต้องขอโทษด้วยที่ผิดสัญญา

- It’s my fault. มันเป็นความผิดของฉันเอง

- How stupid of me! ฉันช่างโง่เง่าเสียเหลือเกิน

- I’m sorry I’m late. ขอโทษด้วยที่ฉันมาสาย

2) เมื่อมีผู้กล่าวคำขอโทษเรา การตอบรับก็ถือเป็นมารยาทอันสำคัญของเรานะครับ มิเช่นนั้นจะดุเป็นการผิดมารยาทและเหมือนจะไม่ต้องการคำขอโทษอะไรแบบนั้น ห้าๆๆ เดี๋ยวจะคบกันต่อไม่ได้นะจะบอกให้ เอ้อ การตอลรับคำขอโทษที่ติดๆปากทั่วไปมีตามนี้ครับ

- That’s all right.

- Of course.

- Certainly.

- It’s nothing at all.

- Forget it.

- Don’t worry about it.

- It’s wasn’t your fault.

- It doesn’t matter.

ทั้งการกล่าวคำขอโทษ และการตอบรับที่นิยมใช้กันก็มีประมาณนี้แหละครับ แต่จริงๆมีมากสำนวนกว่านี้นะครับ เพียงแต่ เราเอาที่ใช้และได้ยินกันบ่อย ๆ ก็พอครับ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์บ้างนะครับ


3 ความคิดเห็น

Tip need want กับ must ใช้ต่างกันอย่างไร




Need กับ Want
Need (v.) = "ต้องการ" แต่เป็นความต้องการชนิดที่รียกว่า "จำเป็นอย่างยิ่ง จำเป็นต่อชีวิต จำเป็นต้องมี หรือ ขาดไม่ได้" เช่น ปัจจัยสี่ อันได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น
เช่น We need some blood to keep him alive.
(เราต้องการเลือดเพื่อให้เขามีชีวิตรอด)
จะเห็นได้ว่าเราต้องการเลือดจริงๆ (แบบขาดไม่ได้) ไม่อย่างนั้นเขาอาจเสียชีวิต

Want (v.) = "ต้องการ" แต่เป็นความต้องการแบบทั่วๆไป
ต้องการแบบเป็นกลางๆ ไม่ถึงขั้นคอขาดบาดตาย
เช่น I want your help on this project.
(ฉันต้องการความช่วยเหลือของคุณเกี่ยวกับโครงการนี้)
ประโยคนี้แสดงให้เห็นว่าผู้พูดไม่หวังมากว่าจะได้รับความช่วยเหลือหรือไม่ แค่เอ่ยปากพูดออกไป ไม่ว่าคำตอบที่ได้รับจะเป็นอย่างไร ก็ไม่เป็นไร เป็นความต้องการโดยทั่วไป ไม่หวังอะไรมาก

*สรุปง่ายๆ need มีน้ำหนักของความต้องการมากกว่า want*

Must ไม่เกี่ยวกับ need หรือ want แต่อย่างใด เพราะ must เป็นกริยาช่วย (modal verb) ใช้บอกถึงสิ่งที่เราต้องทำ จำเป็นต้องทำ เพราะมันจำเป็นหรือสำคัญมาก มีความหมายในเชิงบังคับ อันเนื่องมาจาก กฎเกณฑ์ หรือ คำสั่ง เป็นต้น เช่น
You must pay attention to traffic signals.
คุณต้องเอาใจใส่ในเรื่องของสัญญาณไฟจราจร
All passengers must wear seat belts.
ผู้โดยสารทุกคนต้องคาดเข็มขัดนิรภัย
We must eat to live.
พวกเราต้องกินเพื่ออยู่


39 ความคิดเห็น

Tip บทสนทนาภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์เบื้องต้น


มาเรียนรู้บทสนทนาภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์ บทสนทนาทางโทรศัพท์ เทคนิคการพูดภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์



เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงจะมีปัญหาเวลาที่ต้องคุยโทรศัพท์กับชาวต่างชาติ ไม่มากก็น้อย วันนี้มีตัวอย่างประโยคสนทนาทางโทรศัพท์ที่ใช้เป็นประจำมาให้ลองนำไปใช้ดูนะครับ คิดว่านอกจากจะนำไปใช้ในการทำงานแล้ว ยังมีประโยชน์เวลาไปอยู่ที่ต่างประเทศ เวลาเพื่อนต่างชาติโทรศัพท์มาหาอีกด้วย งั้นเรามาเริ่มเรียนรู้กันเลยครับ

การทักทายของฝ่ายรับโทรศัพท์
- Good morning, Thai Oil refinery, Somsri speaking.
- Hello, (this is) Thai Oil refinery. May I help you?

การสอบถามผู้ที่โทรศัพท์มาว่าต้องการติดต่อใคร
- Who would you like to speak to?
- Who are you calling for?

การสอบถามชื่อของผู้ที่โทรศัพท์มา
- May I ask who is calling, please?
- May I have your name, please?
- Who is calling, please?

บอกให้รอสาย
- Just a moment, please.
- Just a second, please.
- Hold on, please.
- Hold the line, please.
- Could you wait for just one moment, please?
- One moment please, I’ll see if Mr. John is available. โปรดรอสักครู่ ฉันจะดูให้ว่าคุณจอห์นอยู่หรือเปล่า?

เมื่อโอนสายไปให้ผู้อื่น
- I’ll put you through to Mr. John. ฉันจะต่อสายคุณไปยังคุณจอห์น
- I’ll connect you to Mr. John. ฉันจะต่อสายคุณไปยังคุณจอห์น
- I’ll put Somsri on the line. ฉันจะต่อถึงคุณสมศรีซึ่งกำลังรออยู่ในสาย

เมื่อคนรับสายไม่อยู่ ขอให้โทรกลับมาใหม่วันหลัง
- I’m sorry. Mr. John is in the meeting. ขอโทษ คุณจอห์นกำลังประชุมอยู่
- I’m sorry. There’s no reply from Mr. John. ขอโทษ ไม่มีเสียงตอบรับจากคุณจอห์น
- Thank you for waiting. I’m afraid Mr. John is not in at the moment. ขอบคุณที่รอสาย แต่ตอนนี้คุณจอห์นไม่อยู่
- Could you call back later in the day? กรุณาโทรกลับมาใหม่
- He/She is not available at the moment. ตอนนี้เขา/เธอไม่อยู่
- His/Her line is busy right now. ตอนนี้สายของเขา/เธอไม่ว่าง
- He/She is on another line right now. ตอนนี้เขา/เธอกำลังติดอีกสายหนึ่งอยู่
- He/She is on the phone at the moment. ตอนนี้เขา/เธอกำลังใช้สายอยู่
- Can he/she call you back when he/she gets in? จะให้เขา/เธอโทรกลับไป เมื่อเขา/เธอกลับมาไหม?

ขอให้เขาฝากข้อความไว้
- Can I take a message? ให้ฉันรับข้อความไว้ได้ไหม?
- Would you like to leave a message? คุณต้องการฝากข้อความไว้ไหม?
- Can I give him/her a message? ให้ฉันรับข้อความไว้สำหรับเขา/เธอไหม?
- I’ll tell Mr. John that you called. ผมจะบอกคุณจอห์นให้ว่าคุณโทรมา
- I’ll make sure Mr. John rings you as soon as possible. ฉันจะบอกให้คุณจอห์นโทรกลับหาคุณให้เร็วที่สุด
- At what number can you be reached? ขอหมายเลขโทรศัพท์ที่สามารถติดต่อคุณกลับได้

เมื่อมีปัญหา
- Could you speak up, please? กรุณาพูดดังขึ้นสักหน่อย
- I’m sorry, I don’t understand. ขอโทษด้วย ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูด
- Sorry, I didn’t catch that. Could you speak more slowly, please? ขอโทษ ฉันฟังไม่ทัน กรุณาพูดช้าลงหน่อย
- I cannot hear you very well. ฉันไม่ค่อยได้ยินที่คุณพูดเลย
- You must have dialed the wrong number. คุณคงโทรมาผิดเบอร์
- Could you spell that please? กรุณาสะกดคำด้วย

ตัวอย่างบทสนทนาสำหรับฝ่ายโทรศัพท์ไปหาคนอื่น
ทักทาย/ขอสายคุยกับคนที่ต้องการ
- Good afternoon, this is Somsri speaking. I’d like to talk/speak to John.
- May/Can I speak to John?
- Could you put me through to Mr. John, please? กรุณาต่อสายถึงคุณจอห์นให้หน่อย
- Hi, I’m trying to reach Mr. John. ฉันพยายามติดต่อคุณจอห์น

ขอฝากข้อความถึงคนที่ไม่อยู่
- Could you please take a message for me?
- Could you ask him/her to call me back?
- May I leave a message?
- Please tell him/her I called. กรุณาบอกเขา/เธอว่าฉันโทรมา

โทรกลับไปหาคนที่เคยโทรมาหาเรา
- I’m sorry I missed your call this morning. ขอโทษด้วยที่ฉันไม่ได้รับโทรศัพท์คุณเมื่อเช้านี้
- I’m returning your call from this morning. ฉันโทรกลับมา (เพราะคุณโทรมาหาฉันเมื่อเช้านี้)
- This is John, returning your call from this morning.
- I heard you called me. ฉันทราบมาว่าคุณโทรหาฉัน

เมื่อมีปัญหา
- I’ve tried to get through several times, but it’s always engaged/busy. ฉันพยายามต่อโทรศัพท์อยู่หลายครั้งแต่สายไม่ว่างเลย


3 ความคิดเห็น

Tip การเขียนจดหมายในภาษาอังกฤษ



วันนี้เราจะมาเรียนรู้วิธีเขียนจดหมายในแบบภาษาอังกฤษกันครับ ซึ่งจดหมายภาษาอังกฤษอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือจดหมายติดต่อระหว่างบุคคล หรือจดหมายส่วนตัว อาจเป็นจดหมายถามทุกข์สุข แสดงความยินดี แสดงความเสียใจ จดหมาย เชิญ จดหมายอีกประเภทหนึ่งเป็นจดหมายธุรกิจ ซึ่งใช้ติดต่อระหว่างบุคคลกับสำนักงานธุรกิจ หรือระหว่างสำนักงานธุรกิจด้วยกัน สำหรับในเอกสารนี้จะให้รายละเอียดเฉพาะจดหมายส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งเป็นจดหมายที่นักเรียนคุ้นเคย และอาจนำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่า

มาเริ่มกันที่ส่วนประกอบของ การเขียนจดหมายในภาษาอังกฤษ

1. Heading (หัวจดหมายภาษาอังกฤษ) หัวจดหมายคือที่อยู่ของผู้เขียนจดหมาย และวันที่ที่เขียนจดหมาย ซึ่งนิยมเขียนไว้บนมุมด้านขวาหรือซ้ายของจดหมายก็ได้

2. Inside Address (ชื่อที่อยู่ของผู้รับจดหมายภาษาอังกฤษ) ชื่อที่อยู่ของผู้รับจดหมายภาษาอังกฤษซึ่งเขียนหรือพิมพ์ไว้ทางด้านซ้ายบน ถัดจากหัวจดหมายลงมาจะปรากฏเฉพาะในจดหมายธุรกิจเท่านั้น สำหรับรูปแบบการเขียนเหมือนกับหัวจดหมาย

3. Solution (คำขึ้นต้นจดหมายภาษาอังกฤษ) คำขึ้นต้นจดหมายในภาษาอังกฤษ เปรียบเสมือนคำทักทายเพื่อเริ่มต้นจดหมาย ต้องเขียนหรือพิมพ์ไว้ริมซ้ายของกระดาษด้านบนต่อจากหัวจดหมาย สำหรับจดหมายติดต่อระหว่างบุคคล และต่อจากชื่อที่อยู่ของผู้รับจดหมาย สำหรับจดหมายธุรกิจ คำขึ้นต้นจดหมายอาจเขียนได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับบุคคลที่เราเขียนถึงว่ามีความสัมพันธ์กับผู้เขียนอย่างไร

3.1 คำขึ้นต้นสำหรับญาติผู้ใหญ่
My dear…………………….. , เช่น
My dear grandmother, (ย่า, ยาย)
My dear father, (พ่อ)
My dear uncle, (ลุง)
My dear mother, (แม่)

3.2 คำขึ้นต้นสำหรับญาติที่อายุอ่อนกว่า
Dear………… ,
My dear……………..,
My dearest……………..,
เช่น
My dearest son, (ลูก)
My dear Jim, (ระบุชื่อญาติ)

3.3 คำขึ้นต้นสำหรับญาติ, เพื่อน, ผู้รู้จัก ซึ่งมีวัยใกล้เคียงกันDear………… ,
My dear…………….., นิยมระบุชื่อ เช่นDear Surapong,Dear friend, (เพื่อน)

3.4 คำขึ้นต้นสำหรับบุคคลโดยทั่ว ๆ ไป ที่ทราบชื่อแต่ไม่รู้จักกันอย่างสนิท ถ้าเป็นชาวต่าง ประเทศจะระบุคำนำหน้าชื่อพร้อมนามสกุล แต่ถ้าเป็นคนไทยอาจระบุชื่อแทนนามสกุลได้ เช่น
Dear…………?
Dear Dr.Young, (Dr. J.N. Young)
Dear Mrs.Supranee,
Dear Mr.Ferrari (Mr. D.F. Ferrari)

3.5 คำขึ้นต้นสำหรับผู้ใหญ่ที่รู้จัก นับถือ Dear…………,
Dear Sir, (ผู้ชาย)
Dear Madam, (ผู้หญิง)
Dear teacher, (ครู)
Dear Mistress, (นายผู้หญิง)

3.6 คำขึ้นต้นสำหรับบุคคลที่มีตำแหน่งหน้าที่พิเศษ
Your Excellency, (ทูต, รัฐมนตรี)
Dear lady, Your Excellency, (ภริยาทูต, รัฐมนตรี)
Dear Mr. President, (ประธานาธิบดี)
Your Majesty,May it please your Majesty,Sir, Dear Mr. Speaker, (ประธานสภาผู้แทนราษฎร)

3.7 คำขึ้นต้นจดหมายธุรกิจ Dear Sir , Sir , Gentleman , Dear………., (ถ้ารู้จักชื่อ)

4. Body of letter (ตัวจดหมายภาษาอังกฤษ) ตัวจดหมาย คือ ข้อความของจดหมายซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของจดหมาย เพราะเป็นการสื่อความประสงค์ระหว่าง โดยข้อความในจดหมายปกติแล้วจะแบ่งเป็น 3 ตอน

4.1 ความนำ แสดงการแนะนำตัวหรือบอกสาเหตุ
4.2 เนื้อความ บอกวัตถุประสงค์
4.3 สรุป เขียนสรุปเรื่องหรือความมุ่งหวังในอนาคต

5. Complimentary Close (คำลงท้ายจดหมายภาษาอังกฤษ) เมื่อเขียนจดหมายจบแล้ว ต้องมีคำลงท้าย ซึ่งมีหลายแบบขึ้นอยู่กับผู้รับ สำหรับที่นิยมกันโดยทั่วไปได้แก่
Yours sincerely, Sincerely yours, Sincerely, = ด้วยความจริงใจ
With love,With much love,Love, = ด้วยความรัก
หรือดูเพิ่มเติมได้ในเรื่อง คำลงท้ายจดหมายภาษาอังกฤษ

6. Signature (การลงนามจดหมายภาษาอังกฤษ) การ ลงนามของผู้เขียนจดหมาย แสดงให้รู้ว่าใครเป็นผู้เขียนจดหมายนั้น ถ้าเป็นจดหมายส่วนตัว อาจเขียนชื่อหรือทั้งชื่อและนามสกุลในลักษณะหวัด หรือหวัดแกมบรรจง หรืออาจเป็นลายเซ็น (สำหรับบุคคลที่คุ้นเคยมาก ๆ) แต่สำหรับจดหมายธุรกิจนั้น ถัดจากคำลงท้ายจะเป็นลายเซ็น ถัดลงมาจะเป็นชื่อนามสกุลตัวบรรจง ถัดจากชื่ออาจเป็นตำแหน่ง

7. Outside address (การจ่าหน้าซองจดหมายภาษาอังกฤษ)
การจ่าหน้าซองจดหมายคือการเขียนที่อยู่ของผู้รับ (outside address) ซึ่งอาจเขียนได้ 2 แบบ คือ แบบขั้นบันได (Step) ซึ่งย่อเข้ามาทีละบรรทัด กับแบบบล็อก (Block)

**หากมีข้อสงสัยกรุณาติดต่อกลับมาที่ เขียนเป็นภาษาอังกฤษได้ประมานว่า

If you need any further assistance or technical support, call us at xxx-xxxxxxx day or night, or email us at xxx@xxx.com

หรือ

If you have any questions, please feel free to:
* Contact Customer Support at (xxx) xxx-xxxx
* Email us at xxx@xxx.com


2 ความคิดเห็น

Tip หลายคำที่สะกดด้วย S ก็ออกเสียงด้วย Z





การออกเสียงคำที่สะกดตัวท้ายด้วย S เองก็ยังแยกย่อยออก
เป็นออกเสียง soft S และ hard S  เช่น

เสียง S ในคำว่า sound, some rest, basket จะนุ่มนวล ในขณะที่เสียง  S ในคำว่า rose, was, trees  จะออกเสียงหนักและเส้นเสียงสั่น  พูดง่าย ๆ ก็คือ ออกเสียงเป็นเสียง ตัว Z นั่นเอง (คนอเมริกันเรียกตัวซี  คนอังกฤษเรียกตัวเซด )

ฝรั่งเจ้าของภาษา รวมทั้งเด็กไทยที่มาโตที่เมืองนอกอย่างลูกหลานที่บ้านจะออกเสียง S หรือ Z พวกนี้นี้ไม่เคยผิด จะออกเสียงไปเองโดยอัตโนมัติอย่างเป็นธรรมชาติ แถมยังฟังออกอีกด้วยเวลาที่ผู้เขียนออกเสียงผิด คนไทยที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษมาแต่อ้อนแต่ออกอย่างเราสามารถแก้ไขการออกเสียง S ให้ถูกต้อง ได้สองทางคือ

๑.   จำเป็นคำ ๆ  จากการฟังบ่อย ๆ
๒.   จำกฏเกณฑ์ เช่น ดูว่าคำนั้น ๆ ลงท้ายด้วยพยัญชนะเส้นเสียงสั่น ( voiced ) หรือ พยัญชนะเส้นเสียงไม่สั่น ( voiceless )

ถ้าคำนั้นลงท้ายด้วยพยัญชนะเสียงสั่น (voiced) ต้องออกเสียง  S เป็น Z เช่น
Beds     ออกเสียง    bedz
Cab      ออกเสียง       cabz

ถ้าคำนั้นลงท้ายด้วยพยัญชนะเสียงไม่สั่น ( voiceless ) ต้องออกเสียง S  เป็น soft S  หรือเสียง S  ตามปรกตินั่นเอง เช่น
Bets       ออกเสียง     bets
Caps      ออกเสียง     caps

ส่วนคำที่ลงท้ายด้วยเสียงสระ โดยทั่วไปจะออกเสียง Z เช่น
Eyes       ออกเสียง    eyez
Fridges (ตู้เย็น) fridgez
Days      ออกเสียง     dayz  ( y = semivowel คือครึ่ง ๆ กลาง ๆ ระหว่างเสียงสระและเสียงพยัญชนะ)

เส้นเสียงสั่นหรือไม่สั่น (voiced or voiceless) สังเกตได้ง่าย ๆ ด้วยการ เอามือแตะที่ลูกกระเดือก แล้วออกเสียงเหมือนเสียงงูเวลาขู่ SSSSSSSSSS หลังจากนั้นลองออกเสียงเหมือนฝูงผึ้ง  ZZZZZZZZZZZ เมื่อเปรียบเทียบดู จะสังเกตว่าเวลาออกเสียง ZZZZZZZZ จะสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนของเส้นเสียง

 ......หรือจะจำเอาเป็นตัว ๆ ก็ได้ว่าพยัญชนะตัวไหนออกเสียงสั่นหรือไม่สั่น
พยัญชนะเสียงไม่สั่น (voiceless) เช่น p, t, k, f, s,
พยัญชนะเสียงสั่น (voiced) เช่น b, d, g, v, z, m, n, l, r, w, y
นี่เป็นกฎเกณฑ์ส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกมาก จำไม่ไหวหรอกครับ เอาง่าย ๆ โดยสรุปก็คือ

1.  อย่าลืมออกเสียง S
2.  ถ้าไม่แน่ใจว่าควรออกเสียง S หรือ Z ลงท้ายให้ออกเสียง Z เพราะโดยส่วนมาก คำที่ลงท้ายด้วยตัว S จะออกเสียง Z

ความจริงแล้วไม่ว่าจะออกเสียงเป็น S หรือ Z ฝรั่งก็เข้าใจอยู่แล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอกครับ


1 ความคิดเห็น

Tip เมื่อถูกชาวต่างชาติถามเส้นทาง ทำไงดี!!



เคยเป็นกันไหมครับ เมื่อถูกชาวต่างชาติเข้ามาถามเรื่องเส้นทาง แต่ไม่สามารถตอบได้ ทั้งทีรู้เส้นทางเป็นอย่างดี แต่ตอบไม่ได้ เนื่องจากนึกคำศัพท์ไม่ออก หรือ เรียงประโยคตำตอบไม่ได้ เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยเจอสถานการณ์อย่างนี้ งั้นวันนี้เรามาเรียนรู้คำศัพท์ที่ใช้สำหรับการบอกเส้นทาง และประโยคการบอกเส้นทางง่ายๆ เมื่อถูกชาวต่างชาติเข้ามาถามเรื่องเส้นทางกันครับ

** คำศัพท์ **

Go straight (โกสเตรท์) – ตรงไป Turn right (เทิรน์ไรท์) – เลี้ยวขวา

Turn left (เทิรน์เล็ฟท์) – เลี้ยวซ้าย Right side (ไรท์ไซด์) – ฝั่งขวา

Left side (เล็ฟท์ไซด์) – ฝั่งซ้าย Between (บีทวีน)-อยู่ระหว่าง

Across from (อะครอสฟรอม) – ตรงข้าม Next to (เน็กซท์ทู) – ข้างๆ

Around (อะเราน์ดฺ) – ใกล้ๆ

At the corner (แอ๊ทเดอะคอร์เนอร) – ตรงหัวมุม

**บอกเส้นทางโดยให้เดินไป

Go straight ahead as far as the traffic lights. Then turn right .
( โก สเตร้ท อะเฮด แอส ฟา แอส เธอะ แทรฟฟิก ไล้ส เธน เทิน ไร้ท )
เดินตรงไป จนถึงสัญญาณ ไฟจราจร แล้วเลี้ยวขวา

บอกจุดเริ่มต้น = You are here .
( ยู อาร์ เฮีย )
คุณอยู่ตรงนี้

When you go out of the hotel……..
( เว็น ยู โก เอ้า อ๊อฟ เธอะ โฮเทล)
เมื่อคุณออกจากโรงแรม…. จากนั้นก็ต่อด้วยข้อความต่อไปนี้

- ข้ามถนน = Cross over the road.

- เดินตรงไป = walk along the road / Walk straight on / Go straight on.

- เดินผ่านโรงเรียน = Walk pass the school / Go pass the school.

- เดินไปประมาณ 5 นาที = Walk for about 5 minutes

- สี่แยก = Intersection / crossroads

- สามแยก = Junction

- ไฟจราจร = Traffic lights

- สุดถนน = at the end of the road.

- ข้างขวา / ข้างซ้าย = on your right / left

- ติดกับโรงเรียน = next to school

- ก่อนถึงโรงเรียน = just before school

- มุมถนน = at the corner

**บอกเส้นทางโดยให้ใช้รถแท็กซี่

- You can catch a taxi / take a taxi . It will take you there in 5 minutes.
( ยู แคน แคช อะ แท็คซิ / เทค อะ แท็คซิ อิท วิวล์ เทค ยู แดร์ อิน เทน มินิทส )
คุณสามารถไปรถแท็กซี่ และจะพาคุณไปที่นั่นใน 5 นาที

**บอกเส้นทางโดยใช้รถประจำทาง

Take a number 540 bus. That’ll take you pass…(บอกสถานที่ ) and then you get off at…
(เทค อะ นัมเบอร์ 540 บัส แธทอิล เทค ยู พาสท……… แอนด์ เธน ยู เกท ออฟ แอท
ไปรถประจำทางเบอร์ 540 ก็จะผ่าน….(สถานที่) จากนั้นลงรถที่….. (บอกสถานที่)

สำนวนที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้รถประจำทาง

- ขึ้นรถ = take / catch / get on
( เทค / แคช / เกท ออน

- ลงรถ = get off.
( เกท ออฟ )

- เบอร์รถ = bus number 540 / a number 540 bus
( บัส นัมเบ่อร์ 540 / อะ นัมเบ่อร์ 540 บัส )

(ข้อสังเกต เมื่อใช้ bus number 21 จะไม่มี article ‘ a ‘ นำหน้า)

- ป้ายรถเมล์ = bus stop
( บัส สตอพ )

- รถแล่นผ่านอะไรบ้าง = It will take you pass………
( อิท วิว เทค ยู พาส ) บอกสถานที่ว่าผ่านอะไร?

เป็นยังไงกันบ้างครับ ที่นี้ก็พอจะทราบกันแล้วใช่ไหมครับ ถ้าหากกถูกถามเรื่องเส้นก็สามารถนำคำศัพท์ หรือประโยคเหล่านี้มาใช้ได้


0 ความคิดเห็น